|
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดร้อยเอ็ด |
|
|
|
|
|
ประวัติ
ที่มาก่อนจะมาเป็นบ้านกู่กาสิงห์และกู่สถานโบราณที่ท่องเที่ยวประจำหวัดร้อยเอ็ดมีชื่อว่าบ้านกู่กาสิงห์และอีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งอยู่ห่างกัน12กิโลเมตรทั้ง2หมู่บ้านนี้เป็นหมู่ที่ทำมาหากินแข่งขันกันหมู่บ้านกู่กาสิงห์ขึ้นอำเภอเกษตรวิสัยอยู่ติดเขตแดนต่อแดนของอำเภอสวรรณภูมิบ้านกู่พระโกนาขึ้นอำเภอสุวรรณภูมิซึ่งหมู่บ้านนี้มีแต่ผู้หญิงเป็นส่วนมาก
ส่วนบ้านกู่กาสิงห์ก็มีผู้ชายเป็นส่วนมากเหมือนกัน อาชีพทั้งสองหมู่บ้านก็เป็นอาชีพทำไร่ไถนา
บ้านกู่กาสิงห์และบ้านกู่พระโกนาเป็นหมู่บ้านมีอาณาเขตทุ่งกว้างใหญ่ไพศาลมากเนื้อที่กว้างไกลหลายพันไร่
แต่สมัยก่อนทุ่งกุลาที่อยู่ในเขตบ้านกู่กาสิงห์ จะไม่มีต้นไม้เลย
เพราะแห้งมากผู้คนอดอยากส่วนบ้านกู่พระโกนาเป็นหมู่บ้านที่มีต้นไม้อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะต้นยาง(ไม้เนื้อแข็ง)เป็นป่าไม้หนาและต้นสูงมาก
ทั้งสองหมู่บ้านทำมาหากินแข่งกันทุกเรื่องต่อมาวันหนึ่งทั้งสองหมู่บ้านทะเลาะกันอย่างรุนแรง
จึงได้ท้าพนันกันและตกลงกันว่าทั้งสองฝ่ายจะสร้างกู่ประจำหมู่บ้านเพื่อไว้เป็นอนุสรณ์สถานที่ทำกิจกรรมทางศาสนาเวลาเข่งขันต้องเป็นเวลากลางคืนเท่านั้น
หมู่บ้านกู่พระโกนาอยู่ทางทิศตะวันออกขึ้นเขตสุวรรณภูมิ
ส่วนบ้านกู่กาสิงห์อยู่ทางทิศตะวันตกขึ้นเขตอำเภอเกษตรวิสัย
และกติกาการแข่งขันก็ตกลงกันว่าเริ่มแข่งขันตั้งแต่หัวค่ำจนกว่าตะวันขึ้นโพล่พ้นขอบฟ้า
ตะวันขึ้นเมื่อไหร่ก็ให้หยุดสร้างกู่ทันทีใครสร้างเสร็จในกำหนดเวลาก่อนฝ่ายนั้นชนะ
กู่กาสิงห์จะมีแต่ผู้ชายที่สร้าง แต่กู่พระโกนาจะมีแต่ผู้หญิงจนสร้างกู่พระโกนา
จนมาถึงวันแข่งขันทั้งสองฝ่ายก็เกณฑ์ชาวบ้านออกมาช่วยกันสร้างกู่เต็มที่เพื่อต้องการชัยชนะ
จนใกล้กำหนดวันแข่งขัน ซึ่งมีเวลากำหนด 15 วันตามวันข้างขึ้น
พอฝ่ายใดเห็นดวงจันทร์ขึ้นในวันสุดท้ายต้องหยุดการสร้างกู่ทันที่
แต่ฝ่ายสร้างกู่พระโกนาก็ใช้แผนโยการนำตะเกียงมีไฟส่องสว่างมากจนเหมือนพระจันทร์เต็มดวง
ไปไว้บนต้นยางใหญ่และสูงที่สุด
ฝ่ายสร้างกู่กาสิงห์คิดว่าเป็นวันสิ้นสุดการสร้างเลยหยุดสร้าง
ส่วนฝ่ายสร้างกู่พระโกนาก็สร้างต่อจนเสร็จตามกำหนดวัน
กู่กาสิงห์เป็นฝ่ายแพ้ในการสร้างกู่เนื่องสร้างหยุดสร้างกลางคัน
หินที่ใช้สร้างกู่มีรูทุกก้อนเพราะคนสมัยก่อน
ชาย-หญิงเป็นคนแปดศอกนำไม้มาเซาะก้อนหินให้เป็นรูเพื่อจะได้หาบมาสร้างกู่ได้
จากนั้นมาก็ได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "กู่กาสิงห์”
เป็นโบราณสถานที่ได้รับอิทธิพลจากศิลป์แบบเขมร สร้างขึ้นตามคติความเชื่อทางศาสนาฮินดู ลัทธิไศวะนิกาย โดยนับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุดจากการศึกษาลวดลายหน้าบัน ทับหลังและลวดลายอื่นๆ ทราบว่าตรงกับสมัยศิลปะเขมรแบบบาปวน อายุราว พ.ศ. 1550 - 1630 การเรียกชื่อ โดยทั่วไปยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าขอมเรียกโบราณสถานแห่งนี้ว่าอย่างไร แต่ภาษาที่ใช้เรียกชื่อเป็นภาษาไทย จึงเชื่อว่าคำว่า
"กู่กาสิงห์”เป็นคำที่คนไทยลาวได้ตั้งชื่อขึ้นใหม่โดยคำว่ากู่เป็นคำที่ใช้เรียกโบราณสถานที่มีลักษณะคล้ายสถูปหรือเจดีย์เก่าแก่ในอีสานตอนกลาง คำว่ากาน่าจะมาจากรูปพระยาครุฑหรือนกอินทรีย์ที่เคยปรากฏอยู่ที่กู่นอกจากนี้คำว่ากายังเป็นคำในภาษาถิ่นตรงกับคำในภาษาไทยกลางคือคำว่าตราซึ่งแปลว่าเครื่องหมาย ส่วนคำว่าสิงห์ เป็นคำใช้เรียกรูปประติมากรรมสิงห์ที่เคยมีตั้งไว้ประตูทางเข้ากู่ ดังนั้นกู่กาสิงห์จึงหมายถึงโบราณสถานที่มีรูปกาและ สิงห์เป็นเครื่องหมาย
|
|
ปฏิทินกิจกรรม
|
|
« |
มิถุนายน 2565 |
» |
อา. |
จ. |
อ. |
พ. |
พฤ. |
ศ. |
ส. |
| | |
1 |
2 |
3 |
4 |
5 |
6 |
7 |
8 |
9 |
10 |
11 |
12 |
13 |
14 |
15 |
16 |
17 |
18 |
19 |
20 |
21 |
22 |
23 |
24 |
25 |
26 |
27 |
28 |
29 |
30 | |
|
ดูปฏิทินทั้งหมด |
|
|
|
|
|
|
|
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด (หลังเก่า ชั้น ๒ )
ถนนเทวาภิบาล ตำบลในเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
โทร ๐๔๓ ๕๑๒๖๐๖ โทรสาร ๐๔๓ ๕๑๒๖๐๕ |
|
สายด่วนวัฒนธรรม |
 |
Copyright © 2015m-culture.go.th กระทรวงวัฒนธรรม |
|
|